การสหกรณ์ในประเทศไทย
มีมูลเหตุสืบเนื่องมาจาก
เมื่อประเทศไทยได้เริ่มมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศมากขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ระบบเศรษฐกิจของชนบทก็ค่อยๆ
เปลี่ยนจากระบบเศรษฐกิจแบบเพื่อเลี้ยงตัวเองมาสู่ระบบเศรษฐกิจแบบเพื่อการค้า
ความต้องการเงินทุนในการขยายการผลิตและการครองชีพจึงมีเพิ่มขึ้น
ชาวนาที่ไม่มีทุนรอนของตนเองก็หันไปกู้ยืมเงินจากบุคคลอื่น
ทำให้ต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราสูงและยังถูกเอาเปรียบจากพ่อค้า
นายทุนทุกวิถีทางอีกด้วย
ชาวนาจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ตลอดเวลา
ทำนาได้ข้าวเท่าใด
ก็ต้องขายใช้หนี้เกือบหมด
นอกจากนี้
การทำนายังคงมีผลผลิตที่ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ
ถ้าปีไหนผลผลิตเสียหายก็จะทำให้หนี้สินพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ
จนลูกหนี้บางรายต้องโอนกรรมสิทธิ์ในที่นาให้แก่เจ้าหนี้
และกลายเป็นผู้เช่านา
หรือเร่ร่อนไม่มีที่ดินทำกินไปในที่สุด
จากสภาพปัญหาความยากจนของชาวนาในสมัยนั้น
ทำให้ทางราชการคิดหาวิธีช่วยเหลือด้วยการจัดหาเงินทุนมาให้กู้และคิดดอกเบี้ยในอัตราต่ำ
ความคิดนี้ได้เริ่มขึ้นในปลายรัชการที่
5 โดยกำหนดวิธีการที่จะช่วยชาวนาในด้านเงินทุนไว้
2 วิธี คือ การจัดตั้งส่วนราชการสหกรณ์นี้
ก็เพื่อจะให้มีเจ้าหน้าที่ดำเนินการทดลองจัดตั้งสหกรณ์ขึ้น
พระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์
ในฐานะทรงเป็นอธิบดีกรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์ขณะนั้น
ได้ทรงพิจารณาเลือก
แบบอย่าง
สหกรณ์เครดิตที่จัดกันอยู่ในต่างประเทศหลายแบบ
ในที่สุดก็ทรงเลือกแบบไรฟ์ไฟเซนและทรงยืนยันไว้ในรายงานสหกรณ์ฉบับแรกว่า
"เมื่อได้พิจารณาละเอียดแล้ว
ได้ตกลงเลือกสหกรณ์ชนิดที่
เรียกว่า ไรฟ์ไฟเซน
ซึ่งเกิดขึ้นในเยอรมันก่อน
และซึ่งมุ่งหมายที่จะอุปถัมภ์คนจน
ผู้ประกอบกสิกรรมย่อมๆ
เห็นว่าเป็นสหกรณ์ชนิดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับประเทศไทย"
จากการที่พระองค์ท่านทรงเป็นผู้บุกเบิกริเริ่มงานสหกรณ์ขึ้นในประเทศไทย
บุคคลทั้งหลายในขบวนการสหกรณ์จึงถือว่าพระองค์ทรงเป็น
"พระบิดาแห่งการสหกรณ์ไทย"
สำหรับรูปแบบของไรฟ์ไฟเซนก็คือ
สหกรณ์เพื่อการกู้ยืมเงินที่มีขนาดเล็ก
สมาชิกจะได้มีความรับผิดชอบร่วมกัน
ทำให้สะดวกแก่การควบคุม
ท้องที่ที่ได้รับการพิจารณาให้จัดตั้งสหกรณ์
คือ
จังหวัดพิษณุโลก
เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีผู้คนไม่หนาแน่นและเป็นราษฎรที่เพิ่งอพยพมาจากทางใต้
จึงต้องการช่วยเหลือผู้อพยพซึ่งประกอบอาชีพการเกษตรให้ตั้งตัวได้
รวมทั้งเพื่อเป็นการชักจูงราษฎรในจังหวัดอื่นทีมีผู้คนหนาแน่นให้อพยพมาในจังหวัดนี้
และเข้าทำประโยชน์ในที่ดินอย่างเต็มที่
ต่อมากรมพาณิชย์และสถิติพยากรณ์
จึงได้ทดลองจัดตั้งสหกรณ์หาทุนขึ้น
ณ ท้องที่อำเภอเมือง
จังหวัดพิษณุโลก
เป็นแห่งแรกใช้ชื่อว่า
"สหกรณ์วัดจันทร์
ไม่จำกัดสินใช้"
โดยจดทะเบียนเมื่อวันที่
26 กุมภาพันธ์
2459 มีพระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ
เป็นนายทะเบียนสหกรณ์พระองค์แรก
นับเป็นการเริ่มต้นแห่งการสหกรณ์ในประเทศไทยอย่างสมบูรณ์ ในระยะแรกตั้งสหกรณ์วัดจันทร์ไม่จำกัดสินใช้มีสมาชิกจำนวน
16 คน ทุนดำเนินงาน
3,080 บาท
ซึ่งเป็นเงินจากค่าธรรมเนียมแรกเข้า
80 บาท
และเงินทุนจำนวน
3,000 บาท
ได้อาศัยเงินกู้จากแบงค์สยามกัมมาจล
จำกัด
ซึ่งก็คือธนาคารไทยพาณิชย์
ในปัจจุบัน
โดยมีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติเป็นผู้ค้ำประกัน
และเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารในอัตราร้อยละ
6 ต่อปี
คิดดอกเบี้ยจากสมาชิกในอัตราร้อยละ
12 ต่อปี
กำหนดให้สมาชิกส่งคืนเงินต้นในปีแรก
จำนวน 1,300 บาท
แต่เมื่อครบกำหนดสมาชิกส่งคืนเงินต้นได้ถึง
1,500 บาท
ทั้งส่งดอกเบี้ยได้ครบทุกราย
แสดงให้เห็นว่าการนำวิธีการสหกรณ์เข้ามาช่วยแก้ไขความเดือดร้อนของชาวนาได้ผล
และ จากความสำเร็จของสหกรณ์วัดจันทร์ดังกล่าว
รัฐบาลจึงได้คิดขยายกิจการสหกรณ์ไปยังจังหวัดอื่นๆแต่การจัดตั้งสหกรณ์ในระยะแรกนั้น
นอกจากจะมีข้อจำกัดเรื่องเงินทุนแล้วยังมีข้อจำกัดในทางกฎหมายด้วย
เพราะพระราชบัญญัติเพิ่มเติมสมาคม
พ.ศ. 2459 ทำให้การจัดตั้งสหกรณ์ไม่กว้างขวางพอที่จะขยายสหกรณ์ออกไป
หากจะให้การจัดตั้งสหกรณ์เจริญก้าวหน้าและมีความมั่นคงจะต้องออกกฎหมายควบคุมให้มีขอบเขตกว้าง
ดังนั้นในเวลาต่อมาทางราชการจึงได้ประกาศยกเลิกพระราชบัญญัติเพิ่มเติมสมาคม
พ.ศ. 2459 แล้วประกาศใช้พระราชบัญญัติสหกรณ์
พ.ศ. 2471นับเป็นกฎหมายสหกรณ์ฉบับแรก
พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้เปิดโอกาสให้มีการรับจดทะเบียนสหกรณ์ประเภทอื่นๆ
จากนั้นได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสหกรณ์
พ.ศ. 2471 อีก 3 ครั้ง
นับว่าการประกาศให้พระราชบัญญัติสหกรณ์
พ.ศ. 2471 ช่วยให้การจัดตั้งสหกรณ์ได้ขยายออกไปอีกมาก ปี พ.ศ. 2478 มีการริเริ่มจัดตั้งสหกรณ์เช่าซื้อที่ดินที่จังหวัดปทุมธานี
และได้จัดตั้งสหกรณ์ประเภทใหม่ๆ
ขึ้นอีกหลายประเภท
เช่น
สหกรณ์บำรุงที่ดินสหกรณ์ค้าขาย
สหกรณ์นิคมฝ้าย
สหกรณ์หาทุนและบำรุงที่ดิน
ในปี พ.ศ. 2480 ร้านสหกรณ์ได้ถูกจัดตั้งขึ้นเป็นแห่งแรกที่อำเภอเสนา
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ชื่อว่าร้านสหกรณ์บ้านเกาะ
จำกัดสินใช้
มีสมาชิกแรกตั้ง
279 คน
และได้มีการจัดตั้งร้านสหกรณ์ในลักษณะนี้อีกหลายแห่งเพื่อช่วยเหลือประชาชนเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพ
โดยจัดตั้งขึ้นทั้งในส่วนราชการ
รัฐวิสาหกิจ
และส่วนของประชาชน การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดของขบวนการสหกรณ์ในประเทศไทย
ก็คือการควบสหกรณ์หาทุนเข้าด้วยกัน
โดยทางราชการได้ออกพระราชบัญญัติสหกรณ์
พ.ศ. 2511 เปิดโอกาสให้สหกรณ์หาทุนขนาดเล็กที่ดำเนินธุรกิจเพียงอย่างเดียวควบเข้ากันเป็นขนาดใหญ่
สามารถขยายการดำเนินธุรกิจเป็นแบบอเนกประสงค์ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่สมาชิกได้มากกว่า
ด้วยเหตุนี้สหกรณ์หาทุนจึงแปรสภาพเป็นสหกรณ์การเกษตรมาจนปัจจุบัน
และในปี 2511 สันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทยได้ถือกำเนิดขึ้นมา
เพื่อเป็นสถาบันสำหรับให้การศึกษาแก่สมาชิกสหกรณ์ทั่วประเทศ
มีหน้าที่ติดต่อประสานงานกับสถาบันสหกรณ์ต่างประเทศ
เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์และความช่วยเหลือ
ร่วมมือกันระหว่างสหกรณ์สากลในด้านอื่นๆ
ที่มิใช่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจโดยมีสหกรณ์ทุกประเภทเป็นสมาชิก
ซึ่งประเทศไทยได้กำหนดประเภทสหกรณ์ไว้
6 ประเภท
ตามประกาศกฎกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
พ.ศ. 2516 ประกอบด้วย
(1) สหกรณ์การเกษตร
(2) สหกรณ์นิคม
(3) สหกรณ์ประมง
(4) สหกรณ์ออมทรัพย์
(5) สหกรณ์ร้านค้า
และ (6) สหกรณ์บริการ
ซึ่งนับแต่สหกรณ์ได้ถือกำเนิดขึ้นในประเทศไทยจวบจนปัจจุบัน
ผลการดำเนินงานของสหกรณ์ในธุรกิจต่างๆ
ได้สร้างความเชื่อถือ
เป็นที่ไว้วางใจของสมาชิก
จนทำให้จำนวนสหกรณ์
จำนวนสมาชิก
ปริมาณเงินทุน
และผลกำไรของสหกรณ์เพิ่มขึ้นทุกปี
ปัจจุบันมีสหกรณ์ทั่วประเทศ
ณ วันที่ 1 มกราคม
2542 ประมาณ 5,549
สหกรณ์
และสมาชิก 7,835,811
ครอบครัว
การสหกรณ์ในประเทศไทยจึงมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ
โดยเฉพาะต่อประชาชนที่ยากจน
สหกรณ์จะเป็นสถาบันทางเศรษฐกิจและสังคมที่ช่วยแก้ไขปัญหาในการประกอบอาชีพ
และช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนให้ดีขึ้น **************** |